คำถามที่พบบ่อย

หน้าแรก > เกี่ยวกับเรา > คำถามที่พบบ่อย

คำถามที่พบบ่อย

frequently asked questions

การซื้อขายอ้อยตามค่าความหวานเป็นอย่างไร

การซื้อขายอ้อยตามค่าความหวานเริ่มใช้ตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2535/36 เป็นต้นมา โดยกำหนดให้ซื้อขายอ้อยตามคุณภาพความหวานวัดเป็น ซี.ซี.เอส. (Commercial Cane Sugar : C.C.S.) ซึ่งหมายความว่า ราคาอ้อยจะผันแปรไปตามคุณภาพหรือความหวาน ดังนั้น หากอ้อยมีความหวานมาก คือมีค่า ซี.ซี.เอส. สูง ชาวไร่อ้อยจะได้รับราคาอ้อยสูงขึ้นด้วย

C.C.S. คืออะไร

ย่อมาจากคำว่า Commercial Cane Sugar เป็นระบบการคิดคุณภาพของอ้อย ซึ่งได้นำแบบอย่างมาจากระบบการซื้อขายอ้อยของประเทศออสเตรเลีย

คำว่า C.C.S. หมายถึง ปริมาณของน้ำตาลที่มีอยู่ในอ้อย ซึ่งสามารถหีบสกัดออกมาได้เป็นน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ซึ่งตามมาตรฐาน C.C.S. กำหนดวิธีคิดว่า ในระหว่างผ่านกรรมวิธีการผลิต ถ้ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ที่ละลายอยู่ในน้ำอ้อย 1 ส่วน จะทำให้สูญเสียน้ำตาลไป 50% ของจำนวนสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ อ้อย 10 C.C.S. จึงหมายถึง เมื่อนำอ้อยมาผ่านกระบวนการผลิต จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 10% ดังนั้น อ้อย 1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัม จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 100 กิโลกรัม

สูตรการคิดคำนวณราคาอ้อยเป็นอย่างไร

ราคาอ้อย = รายได้ส่วนที่ 1 + (รายได้ส่วนที่ 2 X ค่า ซี.ซี.เอส. ที่ได้) + รายได้จากกากน้ำตาล
รายได้ส่วนที่ 1 = รายรับจากการขายน้ำตาลที่คิดตามน้ำหนัก (สัดส่วน ร้อยละ 40)
รายได้ส่วนที่ 2 = รายรับจากการขายน้ำตาลที่คิดตามค่าความหวาน (สัดส่วน ร้อยละ 60)

ยกตัวอย่าง
รายได้ส่วนที่ 1 = รายรับจากการขายน้ำตาลที่คิดตามน้ำหนัก คือ 200 บาท/ตันอ้อย
รายได้ส่วนที่ 2 = รายรับจากการขายน้ำตาลที่คิดตามค่าความหวาน คือ 40 บาท/ตันอ้อย/ 1 C.C.S.
ค่า ซี.ซี.เอส = 12 C.C.S.
รายได้จากกากน้ำตาล = 20 บาท/ตันอ้อย
ราคาอ้อย = 200 + (40 X 12) + 20 = 700 บาท/ตันอ้อย

พันธุ์อ้อยที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายแนะนำ

ตามประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง กำหนดพันธุ์อ้อยที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมให้ชาวไร่อ้อยปลูกในท้องที่ที่คณะกรรมการกำหนด พ.ศ.2548 มีจำนวน 35 พันธุ์ ซึ่งจะมีความเหมาะสมแตกต่างกันไปตามพื้นที่เพาะปลูกของแต่ละภาค ผู้สนใจสามารถติดต่อขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

    1. สำนักพัฒนาอ้อย น้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โทร 0 2202 3069
    2. ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายภาคต่าง ๆ 4 แห่ง ได้แก่
      • ภาค 1 กาญจนบุรี โทร 0 3469 8189
      • ภาค 2 กำแพงเพชร โทร 0 5585 0844 – 5
      • ภาค 3 ชลบุรี โทร 0 3834 1981 – 2
      • ภาค 4 อุดรธานี โทร 0 4239 8544

มูลค่าการผลิตและรายได้ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย

อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นแหล่งสร้างงานแก่เกษตรชาวไร่อ้อยและแรงงานเก็บเกี่ยวอ้อยในชนบทกว่า 600,000 คน ซึ่งสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกและจำหน่ายน้ำตาลทรายให้ประเทศกว่าปีละ 80,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการส่งออกมากกว่าการบริโภคภายในประเทศ ประมาณ 2 ใน 3 ของผลผลิตน้ำตาล

น้ำตาลโควตา ก. โควตา ข. โควตา ค คือ อะไร

น้ำตาลโควตา ก. คือ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และน้ำตาลชนิดอื่นๆ ที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดให้ผลิตสำหรับบริโภคภายในประเทศ สำหรับปี 2550/2551 กำหนดไว้ที่จำนวน 19 ล้านกระสอบ (กระสอบละ 100 กิโลกรัม)
น้ำตาลโควตา ข. คือ น้ำตาลทรายดิบที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดให้ผลิตเพื่อส่งมอบให้บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ส่งออกและจำหน่ายไปยังต่างประเทศ จำนวน 8 แสนตันเพื่อใช้ทำราคาในการคำนวณราคาน้ำตาลส่งออก
น้ำตาลโควตา ค. คือ ปริมาณน้ำตาลส่งออกไปต่างประเทศ เป็นส่วนที่เหลือโดยหักน้ำตาลโควตา ก และโควตา ข ออกจากปริมาณน้ำตาลที่ผลิตได้ทั้งหมด

ราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศ

ราคาน้ำตาลภายในประเทศมีกระทรวงรับผิดชอบทั้งหมด 2 กระทรวง คือ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เป็นผู้กำหนดราคาน้ำตาลทราย ณ หน้าโรงงาน ส่วนกระทรวงพาณิชย์ โดยคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและบริการ เป็นผู้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายขายปลีก

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา ราคาขายส่ง ณ หน้าโรงงานสำหรับน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์กำหนดไว้ที่ 1,100 และ 1,200 บาทต่อกระสอบ ส่วนราคาขายปลีกกำหนดไว้ที่ 12 และ 13 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ และมีการปรับขึ้นราคาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาที่สำคัญ ดังนี้

    1. พ.ศ. 2541 ได้มีการปรับเพิ่มราคาขายปลีกเป็น 12.50 และ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม
    2. พ.ศ. 2543 ได้มีการบวกภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าทุกประเภท 7% เป็นผลให้ราคาขายส่งน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาล ทรายขาวบริสุทธิ์ปรับเป็น 1,177 และ 1,284 บาทต่อกระสอบ ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกอยู่ที่ 13.25 และ 14.25 บาทต่อกิโลกรัม
    3. พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีอนุมัติปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานอีก 3 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อแก้ปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เนื่องจากต้นทุนการผลิตอ้อยของไทยสูงขึ้น และราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เกิดการลักลอบนำน้ำตาลทรายไปขายประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ราคาน้ำตาลทรายขาวหน้าโรงงานอยู่ที่ 14 บาทต่อกิโลกรัม ราคาน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์อยู่ที่ 15 บาทต่อกิโลกรัม และราคาขายปลีกอยู่ที่ 17.50 บาท และ 18.50 บาทต่อกิโลกรัมตามลำดับ
    4. ครั้งล่าสุดเมื่อ เมษายน 2551 คณะรัฐมนตรีอนุมัติปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานอีก 5บาทต่อกิโลกรัมเพื่อแก้ปัญหาราคาอ้อยให้แก่ชาวไร่อ้อยที่มีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำตาลทรายขาวหน้าโรงงานอยู่ที่ 19 บาทต่อกิโลกรัม ราคาน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์อยู่ที่ 20 บาทต่อกิโลกรัม และราคาขายปลีกน้ำตาลทรายขาว และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์อยู่ที่ระดับ 21.50 บาทและ 22.50 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ
    5. การจำหน่ายน้ำตาลทรายในประเทศปัจจุบัน (พ.ศ.2555) เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง การกำหนดราคาและหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการจำหน่ายน้ำตาลทราย ปี 2555 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งจะเป็นผลให้ราคาน้ำตาลทรายในแต่ละสถานที่ส่งมอบ และพื้นที่จำหน่ายมีราคาขายแตกต่างกัน ดังนี้
      • ราคาจำหน่ายส่ง (ราคารวมกระสอบ) ส่งมอบ ณ โรงงาน ทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
        (ก) น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ กระสอบละ (ปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิห้าสิบกิโลกรัม) 1,070.00 บาท
        (ข) น้ำตาลทรายขาวเกรด 1 และเกรด 2 กระสอบละ (ปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิห้าสิบกิโลกรัม) 1,016.50 บาท
        (ค) น้ำตาลทรายขาวเกรด 3 กระสอบละ (ปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิห้าสิบกิโลกรัม) 1,016.50 บาท
      • ราคาจำหน่ายส่ง (ราคารวมกระสอบ) ส่งมอบ ณ สถานที่จำหน่ายของผู้จำหน่ายส่ง ทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
        (ก) น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ กระสอบละ (ปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิห้าสิบกิโลกรัม) 1,104.75 บาท
        (ข) น้ำตาลทรายขาวเกรด 1 และเกรด 2 กระสอบละ (ปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิห้าสิบกิโลกรัม) 1,051.25 บาท
        (ค) น้ำตาลทรายขาวเกรด 3 กระสอบละ (ปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิห้าสิบกิโลกรัม) 1,038.00 บาท
      • ราคาจำหน่ายจำหน่ายปลีก ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
        (ก) น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ กิโลกรัมละ (ปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิหนึ่งกิโลกรัม) 22.85 บาท
        (ข) น้ำตาลทรายขาวเกรด 1 และเกรด 2 กิโลกรัมละ (ปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิหนึ่งกิโลกรัม) 21.85 บาท
        (ค) น้ำตาลทรายขาวเกรด 3 (น้ำตาลทรายสีรำ) กิโลกรัมละ (ปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิหนึ่งกิโลกรัม) 21.35 บาท

นอกจากนี้ หากมีการแบ่งบรรจุภาชนะเป็นถุงย่อยปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิหนึ่งกิโลกรัมจะมีการคิดค่าภาชนะบรรจุได้ไม่เกินกิโลกรัมละ
0.70 บาท และ 0.75 บาทสำหรับกรณีจำหน่ายส่งและจำหน่ายปลีกตามลำดับ

กรณีตัวอย่าง ราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์บรรจุถุงสำเร็จรูปปริมาณน้ำตาลทรายสุทธิหนึ่งกิโลกรัมในเขตกรุงเทพมหานครจะเท่ากับ 22.85 + 0.75 = 23.60 บาท ซึ่งทั่วไปจะจำหน่ายที่ราคา 23.50 บาท

(รายละเอียดประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง การกำหนดราคาและหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการจำหน่ายน้ำตาลทราย ปี 2555 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555)

องค์กรและสถาบันชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล

ปัจจุบัน สถาบันชาวไร่อ้อยมีหลายสถาบัน ส่วนสถาบันชาวไร่อ้อยตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ.2527 (ณ มกราคม 2552) มีทั้งสิ้น 29 สถาบัน ซึ่งทุกสถาบันต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน กล่าวคือมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 600 คน ต้องมีปริมาณอ้อยส่งเข้าโรงงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 55 และทั้ง 29 สถาบัน ได้รวมตัวเป็น 3 องค์กรชาวไร่อ้อยประกอบด้วย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน

โรงงานน้ำตาลในประเทศมีรวม 47 โรงงาน (ฤดูการผลิต 2552/53 ทำการผลิต 46 แห่ง) ได้ก่อตั้งเป็น 3 สมาคมโรงงานได้แก่ สมาคมการค้าอุตสาหกรรมน้ำตาล สมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทย สมาคมโรงงานน้ำตาลไทย

หัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย / หัวหน้าโควตา

คือ บุคคลที่โรงงานน้ำตาลทำสัญญาให้รวบรวมจัดหาอ้อยส่งให้กับโรงงานน้ำตาลส่วนใหญ่มักเป็นชาวไร่อ้อยที่มีพื้นที่ปลูกอ้อยจำนวนมาก หัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อยเป็นผู้ติดต่อกับโรงงานและรับจัดสรรปริมาณอ้อยที่จะส่งให้โรงงานในแต่ละฤดูหีบ โควตาที่ได้รับถ้าเกินกำลังปริมาณที่ตนผลิตได้ ก็จะนำส่วนเกินนี้ไปจัดสรรและทำสัญญากับชาวไร่อ้อยขนาดเล็กที่ตนรู้จัก ให้ครบตามจำนวนโควตาที่ได้รับจากโรงงานและดูแลควบคุมชาวไร่อ้อยรายเล็กแต่ละราย เพื่อให้ผลิตอ้อยได้ตามปริมาณที่ได้รับการจัดสรร

เงินเกี๊ยวหรือเงินบำรุงอ้อย

ในทางนิติกรรม คือ เงินมัดจำในการขายอ้อยล่วงหน้านั่นเอง โดยชาวไร่ทำสัญญาขายอ้อยให้โรงงานและโรงงานจ่ายเงินมัดจำเป็นเช็คล่วงหน้า ซึ่งชาวไร่มักนำไปขายลดกับธนาคารที่โรงงานมีเครดิตอยู่ แต่ก็มีชาวไร่บางรายที่เก็บเช็คไว้รอเข้าบัญชีเมื่อเช็คครบกำหนดในช่วงที่มีการส่งอ้อยเข้าโรงงาน สำหรับการให้เงินเกี๊ยวผ่านหัวหน้าโควตานั้น หัวหน้าโควตามักจะนำเงินเกี๊ยวไปปล่อยต่อให้ลูกไร่ของตนในลักษณะเดียวกัน

พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 เป็นกฎหมายที่กำกับดูแลระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ตั้งแต่การบริหารจัดการในไร่อ้อย การผลิตในโรงงานน้ำตาล และการส่งออก ตลอดจนการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รักษาการให้เป็นไปตามกฎหมาย

โครงสร้างการบริหารระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย จะประกอบด้วยคณะกรรมการ 5 คณะ ดังนี้

  1. คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) มีหน้าที่กำหนดนโยบายเพื่อบริหารจัดการระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย กำหนดระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติและมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการคณะอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด กอน. ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายราชการ 5 คน ผู้แทนฝ่ายชาวไร่อ้อย 9 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 7 คน
  2. คณะกรรมการบริหาร (กบ.) มีหน้าที่หลักในการให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน. และควบคุมการปฏิบัติงานของคณะกรรมการอ้อยและคณะกรรมการน้ำตาลทรทราย กบ. ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายราชการ 3 คน ผู้แทนฝ่ายชาวไร่อ้อย 5 คน ผู้แทนฝ่ายโรงงาน 4 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 1 คน
  3. คณะกรรมการอ้อย (กอ.) มีหน้าที่ในการให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน. และ กบ. ในกิจการเกี่ยวกับเรื่องอ้อย กอ. ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายราชการ 4 คน ผู้แทนฝ่ายชาวไร่อ้อย 6 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 4 คน มีหน้าที่ในการให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน. และ กบ. ในกิจการเกี่ยวกับเรื่องอ้อย กอ. ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายราชการ 4 คน ผู้แทนฝ่ายชาวไร่อ้อย 6 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 4 คน
  4. คณะกรรมการน้ำตาลทราย (กน.) มีหน้าที่ในการให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน. และ กบ. ในกิจการเกี่ยวกับเรื่องน้ำตาลทราย กน. ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายราชการ 5 คน ผู้แทนฝ่ายชาวไร่อ้อย5 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 5 คน
  5. คณะกรรมการบริหารกองทุน (กท.) มีหน้าที่กำหนดระเบียบว่าด้วยการเก็บรักษา การหาผล ประโยชน์และการใช้จ่ายเงินกองทุน และ บริหารควบคุมการปฏิบัติงานกองทุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด กท. ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายราชการ 6 คน ผู้แทนฝ่ายชาวไร่อ้อย 3 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 3 คน

สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเลขานุการของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย ทั้งนี้ สอน. มีภารกิจเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายกำกับดูแล ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีเสถียรภาพ โดยการกำหนดนโยบายส่งเสริมการวิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย รวมทั้งสร้างความเป็นธรรมและรักษาผลประโยชน์ในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและผู้บริโภค

เปรียบเทียบปริมาณวัตถุดิบระหว่าง อ้อย มันสำปะหลังและข้าวฟ่างหวาน เมื่อนำมาผลิตเอทานอล

  1. ปริมาณอ้อย 14.3 กิโลกรัม ผลิตเอทานอลได้ 1 ลิตร
  2. ปริมาณมันสำปะหลัง 6 กิโลกรัม ผลิตเอทานอลได้ 1 ลิตร
  3. ปริมาณข้าวฟ่างหวาน 14.3 กิโลกรัม ผลิตเอทานอลได้ 1 ลิตร

จำนวนโรงงานน้ำตาลที่ผลิตเอทานอล

โรงงานน้ำตาลที่ขออนุญาตผลิตเอทานอล ปัจจุบันมีทั้งสิ้น จำนวน 13 โรงงาน คือ

    1. โรงงานน้ำตาลรวมเกษตรกรอุตสาหกรรม จ.ชัยภูมิ
    2. โรงงานน้ำตาลอุตสาหกรรมอ่างเวียน จ.นครราชสีมา
    3. โรงงานน้ำตาลไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จ.เพชรบูรณ์
    4. โรงงานน้ำตาลสระบุรี จ.สระบุรี
    5. โรงงานอุตสาหกรรมโคราช จ.นครราชสีมา
    6. โรงงานน้ำตาลราชบุรี จ.ราชบุรี
    7. โรงงานน้ำตาลตะวันออก จ.สระแก้ว
    8. โรงงานน้ำตาลขอนแก่น จ.ขอนแก่น
    9. โรงงานน้ำตาลครบุรี (N Y Sugar) จ.นครราชสีมา
    10. โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์
    11. โรงงานน้ำตาลไทยกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี
    12. โรงงานน้ำตาลมิตรผล จ.สุพรรณบุรี
    13. โรงงานน้ำตาลทรายขาวเริ่มอุดม จ.อุดรธานี

สภาวะการผลิตอ้อย และน้ำตาลทรายในอดีตถึงปัจจุบัน

ฤดูการผลิตปี 2550/2551 ประเทศไทยผลิตน้ำตาลทรายได้ 78.165 ล้าน กระสอบ จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 73.308 ล้านตัน และระดับคุณภาพอ้อยที่ 12.09 CCS เปรียบเทียบกับฤดูการผลิต 2549/50 ที่ผลิตน้ำตาลทรายได้ 72.995 ล้านกระสอบ จากปริมาณอ้อย 63.797 ล้านตันที่ระดับคุณภาพอ้อย 11.91 CCS

ฤดูการผลิตปี 2551/2552 ผลิตน้ำตาลทรายได้ 71.865 ล้าน กระสอบ จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 66.463 ล้านตัน และระดับคุณภาพอ้อยที่ 12.28 CCS

ฤดูการผลิตปี 2552/2553 สามารถผลิตน้ำตาลทรายได้ถึง 69.287ล้าน กระสอบ จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 68.485 ล้านตัน และระดับคุณภาพอ้อยที่ 11.58 CCS

ในฤดูการผลิตปี 2553/2554 ประเทศไทยสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้มากถึง 96.630 ล้านกระสอบ จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 95.358 ล้านตัน และระดับคุณภาพอ้อยที่ 11.78 CCS

การแก้ไขปัญหาภัยแล้งของชาวไร่อ้อย

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2548 กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยด้วยการอนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำปีละ 1,000 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน สำหรับฤดูการผลิตปี 2549/2550 -2551/2552 ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อให้ชาวไร่อ้อยกู้ยืมไปใช้เพื่อขุดบ่อกักเก็บน้ำและเจาะบ่อบาดาลเพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงภัยแล้งในอนาคต การจัดสรรวงเงินกู้ยืมกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 2 ต่อปี โดยโรงงานน้ำตาลจะเป็นผู้ค้ำประกันและรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3.5 ต่อปี เกษตรกรจะต้องชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี นับจากวันที่กู้ยืม ชาวไร่อ้อยที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ที่โรงงานน้ำตาลคู่สัญญาหรือที่สถาบันชาวไร่อ้อยที่สังกัด

ต่อมาเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการพัฒนาแหล่งน้ำตามโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้สามารถพัฒนาแหล่งน้ำในลักษณะต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยยกเลิกการกำหนดรูปแบบการพัฒนาแหล่งน้ำจากเดิมที่จำกัดเฉพาะการขุดบ่อหรือสระกักเก็บน้ำและขุดเจาะ บ่อบาดาลเท่านั้น และปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ ธ.ก.ส. ได้ขยายระยะเวลการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งเพิ่มเติมอีก 2 ปีงบประมาณ ระว่างเดือนตุลาคม 2551 – กันยายน 2554 โดยมีเงื่อนไขเช่นเดี่ยวกับโครงการในระยะแรก

Scroll to Top
Skip to content