นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญสร้างความกังวลว่าจะส่งผลเสียหายต่อภาคเกษตรไทย และทำให้รายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยลดลง สำหรับโอกาสและความเสี่ยงจากเอลนีโญต่อภาคเกษตรไทยในปี 2566 ในภาพรวมเอลนีโญทำให้ปริมาณผลผลิตภาคเกษตรลดลง ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่หากผลกระทบด้านผลผลิตที่ลดลงมีมากกว่าผลกระทบด้านราคาที่สูงขึ้นก็จะส่งผลให้รายได้ลดลง
สำหรับสินค้าข้าว คาดการณ์ว่าผลผลิต ปี 2566/67 จะลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ก็พอเพียงสำหรับบริโภคในประเทศและส่งออกได้ซึ่งอินโดนีเซียมีนโยบายความมั่นคงทางอาหารต้องการสำรองข้าว ขณะที่อินเดียขึ้นภาษีส่งออกข้าวนึ่ง ระงับการส่งออกข้าวทุกชนิดที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ อีกทั้งเวียดนามมีนโยบายลดปริมาณการส่งออกข้าว ปัจจัยเหล่านี้ น่าจะส่งผลต่อการส่งออกข้าวไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 อินโดนีเซียได้ลงนามข้อตกลงกับอินเดีย อนุญาตนำเข้าข้าวจากอินเดีย 1 ล้านตัน เพื่อจัดหาข้าวในกรณีเกิดการหยุดชะงักอันเป็นผลจากเอลนีโญ ซึ่งต้องติดตามใกล้ชิดเพื่อหาช่องทางและโอกาสทางการค้าสำหรับไทย นอกจากนี้ ไทยต้องเร่งพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปรับปรุงพันธุ์ให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี ใช้หลักตลาดนำ นวัตกรรมเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ช่วง 7 เดือนแรก ของปี 2566 มูลค่าการส่งออกข้าวของไทย ขยายตัว 20.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าสุทธิ นำเข้าจากเมียนมาเกือบทั้งหมด คาดว่าผลผลิต ปี 2566/67 จะลดลง เป็นที่น่าสังเกตว่าช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 ไทยนำเข้าข้าวสาลี 1.4 ล้านตัน และข้าวบาร์เลย์ 0.5 ล้านตัน ปริมาณนำเข้าเพิ่มถึง 371.9% และ 490.6% ตามลำดับ ซึ่งข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์เป็นสินค้าทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การอำนวยความสะดวกการนำเข้าสินค้าพืชอาหารสัตว์จะช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทย แต่ต้องมีมาตรการเพื่อสร้างความสมดุลให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ไปด้วย
สินค้ามันสำปะหลังคาดการณ์ว่าผลผลิต ปี 2566/67 จะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ขณะที่สมาคมผู้ประกอบการเกี่ยวกับมันสำปะหลัง เปิดเผยข้อมูลจากการสำรวจว่าผลผลิตมันสำปะหลังจะเหลือ 24 ล้านตัน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมแปรรูปในประเทศต้องการ 40 ล้านตันซึ่งจะกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์แปรรูปไทย จึงต้องให้ความสำคัญกับการปลูกให้ได้ผลผลิตสูง ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์แปรรูป หดตัว 17.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สินค้าน้ำมันปาล์มคาดการณ์ว่าผลผลิตปาล์มน้ำมันปี 2566/67 จะลดลงจากสภาพอากาศร้อน ฝนน้อย อินโดนีเซียมีนโยบายลดการส่งออกน้ำมันปาล์ม ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้นน่าจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกน้ำมันปาล์มของไทย หดตัว 37.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
สินค้าผลไม้ มีการคาดการณ์ว่าทุเรียนและมังคุดจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากพื้นที่ปลูกที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ลำไยจะมีผลผลิตลดลง เนื่องจากภัยแล้งและพื้นที่ปลูกที่ลดลง อย่างไรก็ตาม จีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยยังมีความต้องการนำเข้าต่อเนื่อง ช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกผลไม้สดของไทย ขยายตัว 17.8%
สินค้าน้ำตาล เอลนีโญทำให้อินเดียมีผลผลิตน้ำตาลลดลง อีกทั้งรัฐบาลอินเดียมีมาตรการชะลอการส่งออกน้ำตาล ทำให้ปริมาณน้ำตาลในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำตาลโลกสูงขึ้น ฟิลิปปินส์มีมาตรการนำเข้าน้ำตาลทรายเพื่อสำรองไว้ในประเทศ ขณะที่บราซิลจะมีผลผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้น สำหรับไทยคาดว่าปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 2566/67 จะลดลง อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูงขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกน้ำตาลทรายของไทย ขยายตัวร้อยละ 17.7
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผลผลิตและราคาสินค้าเกษตร แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม เช่น เหมืองแร่ ปศุสัตว์ นอกจากนี้ ส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาพลังงาน เงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งต้นทุนค่าขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์มีการตั้งวอร์รูมเพื่อรับมือกับผลกระทบจากเอลนีโญที่มีต่อพืชเกษตร ผู้ประกอบการเองก็ต้องติดตามข้อมูลและเตรียมการเพื่อบรรเทาผลกระทบ วางแผนการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและรัดกุม
จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 13 กันยายน 2566