คลังชี้เศรษฐกิจไทยพ.ค. มีแรงหนุนจากท่องเที่ยว-การบริโภค

          นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤษภาคม 2566 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2566 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ต่อเนื่องทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย การบริโภคภาคเอกชน และอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐยังคงหดตัว แต่ในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า”

          ทั้งนี้เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤษภาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 29.4%และ 13.5% ตามลำดับ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.7จากระดับ 55.0 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และสูงสุดในรอบ 39 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น รวมถึงความกังวลจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

          ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนในเดือนพฤษภาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่17.0% สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนพฤษภาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 8.1%ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 4.1%

          ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัวแต่ในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ที่ 24,340.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -4.6% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากส่งออกสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าเคมีภัณฑ์ สินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรลดลง เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดี สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี อาทิ ข้าวไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และน้ำตาลทราย และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงตามอุปสงค์ที่ชะลอตัวของประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี ยังมีหลายตลาดที่ยังคงขยายตัวได้ดี อาทิ ตลาดทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลางสหภาพยุโรป (15) และสหรัฐฯ รัสเซียและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of Independent States : CIS)

          สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยวในเดือนพฤษภาคม 2566 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 2.01 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 286.3% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย จีน อินเดีย เกาหลีใต้ และเวียดนาม ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนพฤษภาคม 2566 จำนวน 19.7 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 24.5% ส่วนภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือนพฤษภาคม 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -6.6% เป็นผลจากการลดลงของผลผลิตสำคัญ อาทิยางพารา และมันสำปะหลัง อย่างไรก็ดี ผลผลิตในหมวดปศุสัตว์และประมงยังคงขยายตัวได้ ส่วนภาคอุตสาหกรรมสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม 2566 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 92.5 จากระดับ 95.0ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากปัจจัยสำคัญด้านอุปสงค์จากต่างประเทศที่ลดลง

          ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี และแรงกดดันจากระดับราคาสินค้าลดลงต่อเนื่อง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 0.53ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.55 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2566 อยู่ที่ร้อยละ61.6 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐพ.ศ. 2561 และผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานรายใหม่ ในเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 0.70 ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทั้งหมด สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ในระดับสูงที่ 220.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 30 มิถุนายน 2566

Scroll to Top
Skip to content