TDRI ชี้เริ่มศก.ฟื้นแต่จับตาหนี้สูง KTC พร้อมช่วยลูกค้าจากผลกระทบดอกเบี้ยพุ่ง

          ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการ โครงการ TDRI Economic Intelligence Service (EIS) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โดยภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่า จากการประเมินหลายปัจจัยยังเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก ในขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายปัจจัย ทั้งปัญหาของการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป อีกทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ และสงครามยูเครนที่ยังไม่สงบ โดยธนาคารโลก (The World Bank) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตเพียง 2.1% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกในปีนี้จะอยู่ที่ 7% จาก 8.7% ในปี 2565 อีกทั้งการปรับลดการผลิตของกลุ่มโอเปก+ อาจทำให้ราคาพลังงานคงอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว

          ทั้งนี้ ในสหรัฐอเมริกา วิกฤตการณ์ธนาคารปิดตัวยังส่งผลกระทบให้เงินฝากและสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์มีแนวโน้มชะลอตัวลดลง ขณะที่สภาพเศรษฐกิจของประเทศจีนกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการยกเลิกนโยบายปลอดโควิดและการทยอยเปิดประเทศตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา อีกทั้งภาคการผลิตและบริการส่งสัญญาณฟื้นตัวในเชิงบวกและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด นอกจากนี้ จีนยังมุ่งขยายอิทธิพลไปยังตะวันออกกลางที่อาจนำไปสู่การช่วยยกระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของตะวันออกกลาง และเกิดความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ระหว่างจีน รัสเซียและกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง

          ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าว คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ GDP อาจขยายตัวอยู่ที่ 3.5% จากรายรับในภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้เศรษฐกิจเติบโต โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยว 29 ล้านคน และ 35.5 ล้านคนในปี 2567 ในขณะที่มูลค่าการส่งออกจะลดลงจากปีที่แล้ว แม้การส่งออกไทยอาจได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจจีน แต่ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลักที่ถดถอย สำหรับการบริโภคภาคครัวเรือนได้ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่หนี้ครัวเรือนที่สูงนับตั้งแต่สถานการณ์โควิดถึงเกือบ 90% ของ GDP ในปัจจุบัน อาจเป็นปัจจัยจำกัดการบริโภค นอกจากนี้สถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ อาจส่งผลให้งบประมาณปี 2567 ล่าช้า

          “ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ดอกเบี้ยนโยบายที่เฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยขึ้นอีก โดยจะขึ้นไปอยู่ 5.2-5.5 และจะคงอัตราดอกเบี้ยตรงนี้ไว้ ส่งผลให้ดอกเบี้ยของไทยยังสูงด้วยเช่นกัน และอีกเหตุผลสำคัญขณะนี้ คือ การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่ดูว่าล่าช้าและกินเวลานาน ทำให้การตัดสินใจของนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ชะลอลงทุน” ดร.กิริฎา กล่าว

          ขณะที่นายชุติเดช ชยุติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส กลุ่มงานบริหารการเงิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่าในไตรมาส 1/2566 พอร์ตสินเชื่อรวมของเคทีซีมีอัตราเติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2565 อยู่ที่ 14.5% โดยมีมูลค่าเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวมเท่ากับ 103,312 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มบริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินได้อย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 2.6% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดีโดยมี NPL รวมอยู่ที่ 1.9% และมั่นใจว่าจะสามารถคงคุณภาพพอร์ตรวมได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมประมาณการกำไรของปี 2566 ที่สูงกว่าเดิม

          “เชื่อว่าด้วยสถานการณ์ของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจบริการอื่นๆ จะทำให้เกิดการบริโภคในครัวเรือนและการลงทุนทำธุรกิจที่มากขึ้น รวมทั้งการเดินทางของนักท่องเที่ยวในไทยและเดินทางไปต่างประเทศ จะเอื้อประโยชน์ให้ทุกพอร์ตสินเชื่อของเคทีซีขยายตัวและมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น”

จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 13 มิถุนายน 2566

Scroll to Top
Skip to content