นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ความคืบหน้าแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan) ซึ่งรวมอยู่ใน 5 แผนพลังงานที่รวมไว้ด้วยกันในแผนพลังงานชาติ 2023 (National Energy Plan 2023) ได้เปิดประชาพิจารณ์กลุ่มย่อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนต่อจากนี้จะต้องรอให้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเห็นชอบแผนจากการเปิดประชาพิจารณ์รอบสุดท้ายก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่อนุมัติ โดยกรอบแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Pan) แบ่งเป็น
1. บริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงให้ประเทศมีความมั่นคงด้านพลังงาน โดยการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงและสำรองให้เพียงพอในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและกำหนดการสำรองใหม่ภายใต้ Energy transformation ที่มีผลกระทบจากนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
2. บริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง แบ่งเป็นน้ำมันดีเซล โดยตั้งแต่ปี 2567 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วฐานของประเทศ ให้มีสัดส่วน B100 ที่ 5-9.9% ส่วนน้ำมันเบนซิน E20 เป็นเบนซินฐานของประเทศภายในปี 2570 เช่นกัน ด้าน LPG และ NGV นั้น ภาคขนส่งให้เป็นไปตามกลไกตลาด
3. ส่งเสริมการใช้และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่งเสริมการขนส่งน้ำมันทางท่อให้เป็น Backbone ของประเทศ และส่งเสริมการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าในสถานีบริการน้ำมัน
4. ส่งเสริมธุรกิจใหม่ในอนาคต เช่น ปิโตรเคมี/ปิโตรเคมีขั้นสูง รวมถึงโรงกลั่นชีวภาพ (Bio-Refinery) และพลังงานหมุนเวียน
สำหรับแนวทางการส่งเสริมธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสร้างผลตอบแทนที่คุณค่าต่อผู้ลงทุนและต่อประเทศ ช่วง 5 ปี (พ.ศ 2565-2569)จำนวน 8 โครงการ งบประมาณการลงทุน 34,900 ล้านบาท เกิดเม็ดเงินหมุนเวียน ปีละกว่า 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็น
1. ปิโตรเคมี/ปิโตรเคมีขั้นสูง (โรงกลั่นน้ำมัน) จำนวน 1 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 7,500 ล้านบาท โดยการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการลงทุนของโรงกลั่นน้ำมัน สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 4 และในพื้นที่ลงทุนนอกเหนือโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยประสานความร่วมมือกระทรวงระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เช่น สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI), การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.), สภาพัฒน์, กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ร่วมสนับสนุน
2. โรงกลั่นชีวภาพ จำนวน 7 โครงการมูลค่า 27,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ผลิตเอทานอล โดยสนับสนุนการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรในการแปรรูป ลดปัญหาภาวะล้นตลาด ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มกับสินค้าเกษตร ส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอเจ็ต (SAF)/BHD สนับสนุนแผน AEDP โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีและเป้าหมายสัดส่วนการผสม SAF นอกจากนี้ยังรวมถึงการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เช่น พลังงานหมุนเวียน, การดักจับคาร์บอนและการจัดเก็บคาร์บอน (CCS&CCUS) มีการลงทุนในอนาคตโดยภาพรวม 3 โครงการ วงเงิน 20,000 ล้านบาท โดยการสนับสนุนพลังงานทางเลือก (แสงอาทิตย์ น้ำ ลม) รวมเป็น 54,900 ล้านบาท และยังมีโครงการที่ลงทุนไปแล้วอีก 6 โครงการ มูลค่ากว่า 54,200 ล้านบาท
นางสาวนันธิกากล่าวว่า ภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง รอบ 4 เดือน ของปี 2566 (ม.ค.-เม.ย.) เฉลี่ยอยู่ที่ 158.86 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.1% แบ่งเป็นน้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 31.86 ล้านลิตร/วันเพิ่มขึ้น 5.8% กลุ่มดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ 74.63 ล้านลิตร/วัน ลดลง 3.4% น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 13.89 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 92.4% การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.18 ล้านกิโลกรัม/วัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.3% ขณะที่การใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 3.50 ล้านกิโลกรัม/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.4% ทั้งนี้การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงมีปริมาณการนำเข้ารวมเฉลี่ยอยู่ที่ 1,098,731 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.9% และการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ปริมาณส่งออกรวม อยู่ที่ 151,539 บาร์เรล/วันลดลง 2.6% คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 15,164 ล้านบาท/เดือน
“การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากนี้จนถึงสิ้นปี 2566 คาดว่าภาพรวมโดยเฉพาะครึ่งปีหลังการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการขนส่งและการใช้พลังงานปริมาณมาก แบ่งเป็น น้ำมันกลุ่มเบนซินปรับเพิ่มขึ้น 11.8%, น้ำมันกลุ่มดีเซลปรับเพิ่มขึ้น 12.1%, น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) ปรับเพิ่มขึ้น 23.7%, น้ำมันเตาปรับเพิ่มขึ้น 20.2% และ LPG ปรับเพิ่มขึ้น 7.7%”
จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 8 มิถุนายน 2566